ลำไส้ขี้เกียจคืออะไร มีแบบนี้ด้วยเหรอ เราก็คิดมาตลอดว่าอวัยวะภายในร่างกายมีกลไกที่ทำให้ตัวมันเองสามารถทำงานได้ต่อเนื่องทุกวัน โดยเฉพาะในส่วนของลำไส้ที่เปรียบเสมือนสมองที่สอง เพราะสามารถทำงานได้เองโดยไม่ต้องรอคำสั่งการจากสมอง เมื่อเป็นแบบนี้แล้วลำไส้จะขี้เกียจได้ยังไง แล้วถ้ามันเกิดขึ้นแล้วร่างกายเราจะเป็นยังไง เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าอวัยวะส่วนนี้ทำหน้าที่ย่อย ดูดซึมสารอาหาร และทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่าย
สารบัญ
Toggleลำไส้ขี้เกียจคืออะไร
โดยปกติลำไส้จะบีบตัวและเคลื่อนไหวได้เองเพื่อลำเลียงของเสียไปที่ส่วนปลายสุด และขับออกจากร่างกายผ่านทางทวารหนัก แต่ถ้าเกิดภาวะลำไส้ขี้เกียจขึ้นแล้วก็จะทำให้มีอาการท้องผูก ขับถ่ายยาก เนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวและบีบตัวช้า อุจจาระจึงถูกลำเลียงไปที่ลำไส้ใหญ่ช้ากว่าปกติ และยังคงตกค้างอยู่ในลำไส้แบบนั้น เมื่อของเสียตกค้างก็ทำให้เราเกิดความไม่สบายตัว กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน
สาเหตุของลำไส้ขี้เกียจเกิดจากอะไร
หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการลำไส้ขี้เกียจก็คือการใช้ยาระบายต่อเนื่องเป็นประจำ หรือกินเกือบทุกวันติดต่อกันเกิน 2 อาทิตย์ ยาระบายจะเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวและเกิดการขับถ่ายได้ในเวลารวดเร็ว การทำแบบนี้เท่ากับเป็นการฝืนลำไส้ให้ทำงานตามการกระตุ้นของยา ยิ่งใช้ยาระบายไปเรื่อยๆ ลำไส้จะเกิดความเคยชินและจดจำว่าต้องทำงานเฉพาะเวลาที่มีการใช้ยาระบายเข้าไปกระตุ้นเท่านั้น สิ่งที่ตามมาคือกล้ามเนื้อในลำไส้บีบตัวน้อยลง เริ่มทำงานเองไม่เป็น ไม่สามารถบีบตัวเอง จนในที่สุดลำไส้ก็ดื้อยาจนใช้ยาระบายไม่ได้ผลอีกต่อไป กลายเป็นโรคท้องผูกเรื้อรังโดยสมบูรณ์
ลำไส้ขี้เกียจส่งผลเสียกับร่างกายอย่างไร
ลำไส้ขี้เกียจจะส่งผลโดยตรงต่อการขับถ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องทำเป็นกิจวัตรทุกวัน เมื่อระบบขับถ่ายผิดปกติก็ทำให้กิจวัตรอื่นๆ รวนไปด้วยได้ ผู้ที่มีภาวะลำไส้ขี้เกียจจะถ่ายได้ยากกว่าปกติ เพราะลำไส้ไม่บีบตัวเพื่อดันของเสีย จึงต้องออกแรงเบ่งมากๆ ให้ถ่ายออก รู้สึกเจ็บขณะเบ่งอุจจาระ หลังขับถ่ายไปแล้วก็ยังรู้สึกว่าถ่ายไม่สุด ที่แย่กว่านั้นคือบางคนอาจไม่อุจจาระเลยในช่วง 2-3 สัปดาห์
ลำไส้ขี้เกียจทำให้มีปัญหาท้องผูก แน่นท้อง รู้สึกจุกเสียดเพราะมีแก๊สในท้องซึ่งเกิดจากการมีอุจจาระตกค้าง บางคนอาจรู้สึกคลื่นไส้ร่วมด้วย ถ้าปล่อยให้ลำไส้ขี้เกียจจนท้องผูกเรื้อรังอาการก็จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเกิดแผลในลำไส้ มีมูกเลือดออกมากับอุจจาระ อาจกลายเป็นสาเหตุของโรคลำไส้แปรปรวน และปัญหาอุจจาระเต็มท้องได้
วิธีเปลี่ยนพฤติกรรม ลดท้องผูก ลดการใช้ยาระบาย ก่อนกลายเป็นลำไส้ขี้เกียจ
- ฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลาทุกวัน และหากรู้สึกปวดอุจจาระขณะทำกิจกรรมหรือทำธุระ ควรหาทางเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่ายทันที ไม่ควรกลั้นอุจจาระไว้ เพราะจะทำให้ถ่ายได้ยากขึ้นในภายหลัง หรือถ้าใครกลั้นบ่อยๆ ก็อาจส่งผลต่อการถ่ายอุจจาระได้ยากขึ้นในเวลาต่อมาได้
- ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อช่วยกระตุ้นการเคลื่อนตัวของลำไส้อีกทาง
- ทานอาหารอย่างพอดีและทานในปริมาณเท่าๆกันทุกมื้อ ไม่หนักมื้อใดมื้อหนึ่งเกินไป เพิ่มการทานอาหารที่มีไฟเบอร์และดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อช่วยให้อุจจาระนิ่ม ถ่ายง่ายขึ้น นอกจากนี้ไฟเบอร์ยังเป็นอาหารของโพรไบโอติก (Probiotic) หรือจุลินทรีย์ชนิดดีที่คอยดูแลลำไส้ด้วย
- เสริมโพรไบโอติกให้ร่างกาย เพราะโพรไบโอติกจะเข้าไปเกาะที่ผนังลำไส้เพื่อปกป้องไม่ให้มีเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมมารบกวนการทำงานของลำไส้ และช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี ซึ่งเราสามารถเพิ่มโพรไบโอติกได้ทั้งจากการรับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติกสูง หรือทานในรูปแบบอาหารเสริม ซึ่งนอกจากจะสะดวกในการทานแล้ว ยังมั่นใจได้ว่าจะได้รับโพรไบโอติกในปริมาณที่แน่นอนและเพียงพอ ซึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญในการเลือกอาหารเสริมโพรไบโอติก มีดังนี้
- ดูสายพันธุ์โพรไบโอติก (Probiotic) ที่แบรนด์นั้นใช้ ต้องเป็นสายพันธุ์ที่มีผลการรับรองและมีการทดสอบในผู้ใช้จริงว่าสามารถให้ผลดีในการดูแลลำไส้ได้
- ปริมาณโพรไบโอติกที่ใส่มาต่อ 1 หน่วยบริโภค ควรมีโพรไบโอติกอย่างน้อย 1 พันล้าน CFU (ทั้งนี้แต่ละแบรนด์จะใส่มาในปริมาณที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ใช้)
- รูปแบบของอาหารเสริม ควรเป็นแบบแคปซูลทนกรด เพื่อปกป้องไม่ให้โพรไบโอติกโดนน้ำย่อยทำลายจนหมดก่อนเดินทางไปถึงลำไส้