ใครๆก็บอกว่าถ้าอยากขับถ่ายดี ต้องกินผักเยอะๆ เราก็ขยันกินผักทุกวัน แต่ละครั้งหมดไปชามใหญ่ แต่ทำไมเราไม่ได้ขับถ่ายดีขึ้น บางครั้งกลายเป็นว่าท้องผูกกว่าเดิมอีก สุดท้ายก็ต้องกลับไปพึ่งยาระบายแก้ปัญหาท้องผูกอยู่ดี
แต่นักกินผักอย่าเพิ่งล้มเลิกความตั้งใจที่จะดูแลสมดุลมื้ออาหาร โดยการเพิ่มปริมาณผักที่กินไปซะก่อนนะครับ คุณเริ่มต้นได้ถูกทางแล้ว เพียงแต่จะต้องปรับแผนการทานผักอีกหน่อยเท่านั้น จะเป็นเรื่องอะไรเรามาค่อยๆ ทำความเข้าใจเรื่องการขับถ่ายไปพร้อมๆ กันก่อนครับ
สารบัญ
Toggleอาการแบบไหนคือท้องผูก
- ความถี่ของการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- ถ่ายอุจจาระลำบาก เหมือนมีอะไรมากั้นอยู่
- ต้องใช้แรงเบ่งมาก บางครั้งต้องใช้น้ำฉีดช่วย
- อุจจาระเหนียวและแข็ง
- มีอาการถ่ายอุจจาระไม่สุด
- ต้องใช้เวลาถ่ายอุจจาระนานกว่าปกติ
ท้องผูกทั้งที่กินผักเยอะเกิดจากอะไร
ตามความเข้าใจของเรา การทานผักผลไม้ที่มีกากใยจะช่วยเพิ่มปริมาณและทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม ถูกขับถ่ายได้ง่ายขึ้น แต่ความเข้าใจนี้ก็ไม่ได้ถูกต้องแบบ 100% เพราะหากเราทานผักที่มีกากใยสูงมากเกินไป กากใยก็ยิ่งเข้าไปเพิ่มความเหนียวให้กับอุจจาระมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่กำลังมีปัญหาท้องผูกแล้วยิ่งกินผักหรือผลไม้ที่มีกากใยสูงเข้าไปมากๆ เพราะคิดว่าจะช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่มขึ้นได้ กลายเป็นว่ากากใยเหล่านั้นอาจย่อยได้ไม่หมด สุดท้ายก็ไปรวมตัวเกิดเป็นอุจจาระก้อนใหม่ ที่เข้าไปทับถมกับของเดิมที่เหนียวและแข็งอยู่แล้ว ทำให้ถ่ายยากขึ้นไปอีก
สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้ท้องผูกได้
นอกจากเรื่องการทานผักผลไม้ที่มีกากใยสูงมากไปจะมีผลต่อการขับถ่ายแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้การขับถ่ายทำได้ลำบากด้วยเช่นกัน โดยสาเหตุที่ซ่อนอยู่เหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น
- การเคลื่อนไหวของลำไส้ที่ผิดปกติ จากที่มีการบีบตัวตลอดก็ลดน้อยลง รวมทั้งแรงบีบที่ทำให้รู้สึกอยากถ่ายก็ลดลงไปด้วย อาจจะเหลือเพียง 2 ครั้งต่อวัน จากที่เคยมีแรงบีบ 8 ครั้ง ทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวในลำไส้ได้ช้าลง จนไม่รู้สึกอยากขับถ่าย ความถี่ในการขับถ่ายน้อยลงเรื่อยๆ เกิดอุจจาระสะสมในลำไส้มากขึ้น เมื่อปล่อยไว้นานๆ น้ำจะถูกดูดออกจากก้อนอุจจาระไปเรื่อยๆ ทำให้อุจจาระยิ่งแข็งและถูกขับออกได้ลำบาก
- กล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายผิดปกติ เมื่อออกแรงเบ่งอุจจาระแทนที่กล้ามเนื้อตรงทวารหนักจะคลายตัว แต่กลับบีบรัดมากขึ้นจนทำให้ไม่สามารถถ่ายอุจจาระออกมาได้ คนที่มีปัญหานี้มักจะรู้สึกถ่ายไม่สุด รู้สึกอยากถ่ายแต่เมื่อเข้าห้องน้ำกลับถ่ายไม่ออก ต้องใช้เวลาและจะรู้สึกเจ็บขณะเบ่งอุจจาระ
- การใช้ยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยารักษาอาการทางจิตเวช ยาต้านซึมเศร้า ยารักษาโรคอัลไซเมอร์ รักษาอาการพาร์กินสัน ยาแก้แพ้บางชนิด ยาลดความดันโลหิต ยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็ก ยาลดกรดที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียม เป็นต้น
- มีอาการลำไส้รั่ว ซึ่งเป็นภาวะที่เชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมเล็ดลอดเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ทำให้เกิดความเจ็บป่วยหลายอย่าง ตั้งแต่มีผดผื่นตามร่างกาย ปวดศีรษะ รวมทั้งอาหารไม่ย่อย ท้องอืด และอาการท้องผูกสลับกับท้องเสียในบางช่วง
ท้องผูกบ่อยจะแก้ได้อย่างไรบ้าง
- ทานผักให้หลากหลายชนิดขึ้น นอกจากชนิดที่เพิ่มกากใยแล้วควรทานชนิดที่มีเมือกลื่นๆเพิ่มเข้าไปเสริมด้วย โดยเฉพาะคนที่กำลังมีปัญหาท้องผูก ผักที่มีเมือกยกตัวอย่าง เช่น มะเขือเปราะ กระเจี๊ยบเขียว ซึ่งควรนำไปผ่านการปรุงให้นิ่มลงก่อน
- ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 1.5 -2 ลิตร ค่อยๆจิบบ่อยๆ ระหว่างวัน และควรลดปริมาณการดื่มน้ำหวานหรือน้ำอัดลมที่จะไปเพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหาร
- เพิ่มการเคลื่อนไหว ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนไหวตาม
- ฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาท้องผูกที่มีความรู้สึกอยากขับถ่ายน้อยลง และมักจะอยากถ่ายในช่วงเช้าเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นตอนเช้าจึงเป็นช่วงที่เหมาะจะฝึกการขับถ่ายให้เป็นกิจวัตร
- ลดการทานอาหารแปรรูป ของหมักดอง ขนมปัง น้ำตาล นมวัว ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะลำไส้รั่ว
- ทานโพรไบโอติกเป็นประจำ เพื่อรักษาสมดุลแบคทีเรียดี ซึ่งจะมีมากที่สุดในลำไส้และทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้เกิดการเคลื่อนตัว สร้างเอนไซม์สำคัญออกมาย่อยอาหาร และสามารถบีบตัวเพื่อลำเลียงของเสียไปที่ทวารหนักเพื่อขับถ่ายออกจากร่างกาย นอกจากนี้โพรไบโอติกยังช่วยปกป้องผนังลำไส้โดยการเข้าไปยึดเกาะ เพิ่มจำนวนและทำหน้าที่เสมือนเกราะปกป้องไม่ให้แบคทีเรียก่อโรคเข้ามาจับที่ผนังลำไส้ได้ จึงช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะลำไส้รั่วได้ดีอีกทาง ซึ่งปัจจุบันเราสามารถทานโพรไบโอติกได้สะดวกมากขึ้นในรูปแบบของอาหารเสริมที่พกพาไปทานได้ทุกที่ ให้โพรไบโอติกได้จำนวนมากกว่า และคุณภาพคงที่กว่าการรับโพรไบโอติกจากการทานอาหารบางชนิด เช่น โยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวตามที่เราคุ้นเคย (ซึ่งบางตัวไม่มีโพรไบโอติกในนั้นด้วยซ้ำ)