ปวดหัวไมเกรนทีไร แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย ปวดหัวหนักตุบๆข้างเดียวก็ว่าทรมานแล้ว แต่ยังมีอาการอ่อนล้า คลื่นไส้ อาเจียนตามมาด้วย บางคนถึงกับต้องนอนพักยาวทั้งวันไปเลย ซึ่งอาการปวดหัวไมเกรนก็ยังหาสาเหตุที่แน่นอนไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร แต่ก็มีสิ่งที่สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้หลายอย่าง อาทิเช่น การพักผ่อนน้อย มีความเครียดสูง ทานอาหารไม่พอ ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในผู้หญิง หรือการใช้ยาบางชนิด
นอกจากสิ่งกระตุ้นเหล่านี้แล้ว ก็มีอีกสาเหตุคือการมีสุขภาพลำไส้ที่อ่อนแอหรือมีภาวะลำไส้รั่วก็ทำให้ปวดศรีษะไมเกรนได้ ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ ใช่ไหมครับเพราะทั้งลำไส้และสมองอยู่คนละส่วนกันเลย แล้วส่งผลกระทบถึงกันได้อย่างไร
สารบัญ
Toggleลำไส้กับสมองเชื่อมโยงกันได้อย่างไร
โดยปกติแล้วลำไส้กับสมองของเรามีการสื่อสารกันตลอดเวลา (Gut-brain axis) ผ่านระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทที่ลำไส้ ที่ต่างฝ่ายต่างก็ส่งสัญญาณถึงกันเพื่อกระตุ้นให้เกิดกระบวนการต่างๆ เช่น ความอยากอาหาร การย่อยอาหาร การเผาผลาญ การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
จากการที่ทั้งลำไส้และสมองมีความเชื่อมโยงกันนี้ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีอะไรเกิดขึ้นกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เช่น เมื่อคุณเกิดความเครียด สมองก็จะส่งสัญญาณไปยังลำไส้ ส่งผลต่อความอยากอาหารที่ลดลง เกิดอาการคลื่นไส้ หรือทำให้คุณท้องเสีย ในทางกลับกันลำไส้ก็บอกสมองของคุณได้ว่าเมื่อใดควรหยุดทานอาหาร
ทั้งนี้ระบบประสาทลำไส้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยสมอง แต่สามารถทำงานได้เองโดยอัตโนมัติ จึงถูกเปรียบเทียบว่าเป็น “สมองที่สองของร่างกาย” ภายในลำไส้จะมีระบบนิเวศน์ของจุลินทรีย์ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของลำไส้ และหนึ่งในสายพันธุ์ที่ลำไส้ต้องการมากๆ มีชื่อว่าโพรไบโอติก ซึ่งจุลินทรีย์ตัวนี้จะเกาะอยู่ตามผนังลำไส้ ทำหน้าที่ทั้งช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ย่อยอาหาร และเกิดการเคลื่อนตัวเพื่อลำเสียงกากอาหารออกไปสู่ระบบขับถ่าย กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และการสร้างฮอร์โมนสำคัญที่เป็นสื่อกลางระหว่างลำไส้และสมอง นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เปรียบเสมือนทหารที่คอยคุ้มกันผนังลำไส้ที่เป็นป้อมปราการควบคุมการเข้าออกของสารต่างๆ ออกไปสู่ระบบโลหิตอีกที ไม่ว่าจะเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ หรือสารพิษและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
การเสียสมดุลโพรไบโอติก (Probiotic) ในลำไส้ ทำให้ปวดหัวไมเกรนได้อย่างไร
ถ้าเราไม่ดูแลสุขภาพจนจุลินทรีย์ดีหรือโพรไบโอติก (Probiotic) ในลำไส้ลดลงต่อเนื่อง ผนังลำไส้ก็มีโอกาสถูกสิ่งแปลกปลอมจู่โจมได้ง่าย จนกระทั่งส่วนที่ทำหน้าที่ดักจับสิ่งแปลกปลอมถูกทำลายและเกิดเป็นช่องว่างที่ผนังลำไส้หรือภาวะลำไส้รั่ว ทำให้สิ่งแปลกปลอมทั้งสารเคมีที่มากับอาหาร สารก่อภูมิแพ้ และเชื้อก่อโรค ผ่านเข้าไปในกระแสเลือดได้ง่ายและมากขึ้น ตับที่ทำหน้าที่ช่วยกรองพิษเหล่านี้อีกทีก็ไม่สามารถทำงานได้ทันกับปริมาณสารพิษที่ทะลักเข้ามา สารอันตรายดังกล่าวจึงถูกส่งต่อผ่านกระแสเลือดไปสู่สมองได้ง่าย สมองก็ตอบสนองโดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างภูมิออกมาต่อสู้จนเกิดเป็นอาการอักเสบขึ้น ยิ่งปล่อยให้ลำไส้รั่วนานๆ พิษก็สะสมมากขึ้น เกิดเป็นการอักเสบซ้ำๆในสมอง ที่นำไปสู่อาการปวดหัวไมเกรน
โพรไบโอติก ช่วยเรื่องปวดหัวไมเกรนได้อย่างไร
1 . โพรไบโอติกช่วยคืนสมดุลจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของลำไส้ให้มีมากกว่าแบคทีเรียก่อโรค ลำไส้ที่อ่อนแอก็จะเกิดการฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเองทำให้เซลล์ที่ผนังลำไส้ค่อยๆกลับมาเชื่อมต่อกันได้เหมือนเดิม สารพิษก็จะแทรกซึมผ่านผนังลำไส้ออกไปสู่กระแสเลือดได้ยากขึ้น
2. เมื่อสารพิษซึมออกไปที่กระแสเลือดได้น้อยลง สมองก็ได้รับสารพิษน้อยลงไปด้วย ร่างกายจึงไม่จำเป็นต้องกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันออกมาต่อสู้กับสารพิษมากเท่าแต่ก่อน การอักเสบในสมองจึงลดลง ทำให้อาการปวดหัวไมเกรนค่อยๆ ลดลงตามลำดับ
เราจะเพิ่มโพรไบโอติกเพื่อดูแลลำไส้ และป้องกันการปวดหัวไมเกรนได้อย่างไรบ้าง
- ทานอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับจุลินทรีย์ที่หลากหลาย และยังเป็นการลดโอกาสที่ร่างกายจะได้รับสารเคมีชนิดเดิมซ้ำๆ จากการทานอาหารแบบเดิมๆได้ด้วย
- พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ปล่อยให้เกิดความเครียดสูง ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการลดลงของจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้
- ไม่ทานยาพร่ำเพรื่อ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ ที่มีผลต่อการลดลงของโพรไบโอติก
- ทานอาหารที่มีโพรไบโอติก หรือทานอาหารเสริมโพรไบโอติกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาสมดุลจุลินทรีย์ดี ให้มีมากกว่าแบคทีเรียร้าย ซึ่งการเลือกอาหารเสริมควรเลือกแบรนด์ที่ใส่โพรไบโอติกมาให้ในปริมาณที่มากพอกับที่ร่างกายต้องการ ทั้งนี้ก็ควรมีผลการวิจัยรับรองเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของโพรไบโอติกที่ใช้ด้วยว่า เมื่อทานตามโดสที่แนะนำแล้วสามารถให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้จริง และไม่ทำให้เกิดอันตรายกับร่างกาย อีกข้อที่สำคัญมากๆคือ ชนิดของอาหารเสริมที่แนะนำว่าควรเลือกแบบที่บรรจุมาในแคปซูลทนกรด ซึ่งจะช่วยปกป้องโพรไบโอติกไม่ให้ถูกน้ำย่อยในทางเดินอาหารทำลายได้ง่ายๆ สามารถเดินทางไปถึงลำไส้และพร้อมทำงานทันที
ถ้าอาการปวดหัวไมเกรนที่เป็นมาเรื้อรังไม่ยอมดีขึ้นสักที ลองมาหลายวิธีก็ไม่เคยได้ผล เป็นไปได้ว่าลำไส้ของคุณอาจจะกำลังขาดโพรไบโอติกอยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นลองเพิ่มโพรไบโอติกตามที่เราแนะนำดูก็ไม่เสียหายอะไรนะครับ แถมยังทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นตามไปด้วย