ใช้โพรไบโอติกหลายสายพันธุ์ ดีกว่าจริงไหม? พูดได้เลยว่าแนวคิดมากกว่าย่อมดีกว่าเสมอ เป็นเหมือนกับดักการตลาดอย่างหนึ่งที่ผู้บริโภคมักใช้เป็นเหตุผลในการตัดสินใจอันดับต้นๆ เมื่อจะซื้อสินค้าสักอย่าง ไม่เพียงแค่อาหารเสริมโพรไบโอติกเท่านั้น เพราะคำว่าเยอะมักจะมาคู่กับความรู้สึกคุ้มค่า จนทำให้ลืมนึกถึงจุดประสงค์หลักของการซื้อของชิ้นนั้นว่า เราต้องการซื้อเพื่อเอามาใช้ประโยชน์อะไร และการที่มีมากกว่ามันตอบโจทย์สิ่งที่เรามองหาจริงๆ หรือไม่ ในส่วนของโพรไบโอติกเองนอกจากจุดเด่นเรื่องช่วยการขับถ่ายแล้ว มีอะไรที่คุณมองข้ามไปไหม ลองมาดูไปพร้อมกันเลย
สารบัญ
Toggleโพรไบโอติกช่วยเรื่องอะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง
- รักษาสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกาย ด้วยการส่งเสริมการเติบโตของจุลินทรีย์ดีให้มีมากกว่าแบคทีเรียร้าย
- ยับยั้งการเติบโตของเชื้อฉวยโอกาสที่เข้ามาในร่างกาย รวมถึงลดการอักเสบในระบบต่างๆ เช่น ทางเดินปัสสาวะ ช่องคลอด
- ส่งเสริมการทำงานของระบบย่อย ด้วยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างเอนไซม์หลายชนิดออกมาย่อยอาหาร
- สร้างเกราะปกป้องผนังลำไส้ไม่ให้โดนรบกวนจากแบคทีเรียก่อโรค โดยการเข้าไปแทนที่และเพิ่มจำนวน ลำไส้จึงสะอาดและทำหน้าที่ในการย่อย ดูดซึมสารอาหาร และขับถ่ายของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ
อาหารที่มีโพรไบโอติกสูงมีอะไรบ้าง
3 แหล่งหลักๆ ที่มีโพรไบโอติกสูง คือ อาหารเสริมโพรไบโอติก โยเกิร์ต และอาหารที่มีการหมักดอง (เช่น กิมจิ ถั่วเน่า ชาหมักคอมบูชา) ซึ่งโพรไบโอติกจากทั้ง 3 แหล่ง ก็จะมีความแตกต่างด้านสายพันธุ์ จำนวน รวมถึงประสิทธิภาพในการทำงาน
- โพรไบโอติกจากโยเกิร์ตและอาหารหมักดอง แม้จะเป็นอาหารที่อุดมด้วยโพรไบโอติก แต่เราก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าโพรไบโอติกในอาหารชนิดนั้นๆ มีมากพอกับที่ร่างกายต้องการแค่ไหน และเป็นสายพันธุ์ที่ให้ประโยชน์ตามที่เราคาดหวังหรือเปล่า ในแง่ของประสิทธิภาพการทำงานก็สามารถลดลงได้เมื่อเจอกับน้ำย่อยในทางเดินอาหาร โพรไบโอติกอาจสลายไปเกือบหมดก่อนได้เริ่มทำงานแล้ว หรือแม้แต่สลายไปตั้งแต่ก่อนรับประทาน เพราะโยเกิร์ตและอาหารหมักดองเหล่านี้ต้องเก็บในที่อุณหภูมิต่ำเท่านั้น ถ้าเก็บไม่ดี โพรไบโอติกก็ถูกทำลายได้ง่ายๆ
- โพรไบโอติกในรูปแบบอาหารเสริม แม้เราจะทราบได้แน่นอนว่าจะได้รับโพรไบโอติกในปริมาณเท่าไหร่ต่อ 1 หน่วยบริโภค แต่ทั้งนี้อาหารเสริมของแต่ละแบรนด์ก็จะมีการใช้สายพันธุ์โพรไบโอติก และมีรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ต่างกัน ดังนั้นก่อนเลือกซื้ออาหารเสริมโพรไบโอติกต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาความต่างในแง่นี้ด้วย เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของเรามากที่สุด
อาหารเสริมของแบรนด์ที่มีโพรไบโอติกหลายสายพันธุ์กว่า ย่อมดีกว่าจริงหรือ
ใช้จำนวนสายพันธุ์มากกว่าไม่จำเป็นต้องดีกว่าเสมอไป โดยเฉพาะแบรนด์ที่ให้เหตุผลว่ายิ่งใส่โพรไบโอติกหลากหลายสายพันธุ์ ก็ยิ่งดีต่อระบบนิเวศจุลินทรีย์ในลำไส้ที่ต้องการจุลินทรีย์ดีหลากหลายชนิด
แต่ในความเป็นจริงแล้วลำไส้ของแต่ละคนจะมีจำนวนและความหลากหลายของสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่ต่างกันอยู่แล้ว เป็นไปตามสภาพร่างกายของคนนั้นๆ ดังนั้นการทานอาหารเสริมโพรไบโอติกที่มีหลายสายพันธุ์ อาจเหมือนเป็นการทานแบบหว่านแห่ เพราะอาหารเสริมตัวนั้นอาจไม่ได้ใส่โพรไบโอติกสายพันธุ์ที่ร่างกายของผู้บริโภคคนนั้นต้องการเข้าไปมากเพียงพอ ผลลัพธ์ที่ได้จึงอาจไม่ดีตามที่คาดหวัง
ก่อนที่จะเลือกอาหารเสริมโพรไบโอติก คุณจึงควรถามตัวเองให้แน่ใจก่อนว่าคุณต้องการทานโพรไบโอติกเพื่ออะไร อยากให้แก้ปัญหาสุขภาพด้านใดบ้าง เพื่อนำไปใช้เป็นเหตุผลประกอบการตัดสินใจตอนเลือกซื้ออาหารเสริมโพรไบโอติก ซึ่งก็ควรเลือกแบรนด์ที่มีงานวิจัยสนับสนุนว่าโพรไบโอติกสายพันธุ์ที่แบรนด์ใช้ มีจุดเด่นที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของเราได้ มีการทดลองกับผู้ใช้จริงว่าให้ผลที่น่าพอใจได้และมีความปลอดภัยกับผู้บริโภค
วิธีเลือกโพรไบโอติก นอกจากเรื่องสายพันธุ์แล้วต้องดูอะไรอีกบ้าง
- รูปแบบของผลิตภัณฑ์ ควรเลือกอาหารเสริมโพรไบโอติกในรูปแบบแคปซูลทนกรด เพื่อให้โพรไบโอติกไม่ถูกน้ำย่อยในทางเดินอาหารทำลาย ซึ่งแคปซูลจะช่วยพาโพรไบโอติกลงไปได้ลึกถึงลำไส้และพร้อมทำงานทันที
- ต้องมีปริมาณโพรไบโอติกเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยต้องไม่น้อยกว่า 1,000 ล้าน CFU ใน 1 หน่วยบริโภค
- ผลิตในสถานที่ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการผลิตอาหารเสริมโพรไบโอติกโดยเฉพาะ มีมาตรฐานที่ช่วยคงคุณภาพของโพรไบโอติกในทุกขั้นตอน จนกระทั่งส่งถึงมือผู้บริโภค
เห็นแล้วใช้ไหมครับว่าการทานโพรไบโอติกให้มีประสิทธิภาพไม่ใช่เรื่องยากเลย ถ้าคุณเข้าใจร่างกายและความต้องการของตัวเอง คุณก็จะสามารถเลือกโพรไบโอติกที่เหมาะกับคุณจริงๆได้ แม้จะเลือกที่มีสายพันธุ์น้อยกว่า แต่ก็มั่นใจได้ว่าจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทานนะครับ