ก่อนเริ่มทานอาหารเสริมโพรไบโอติก (PROBIOTIC) เราเชื่อว่าเพื่อนๆหลายคน คงได้รู้ถึงประโยชน์ของโพรไบโอติกมามากพอสมควรแล้ว ในเรื่องของการดูแลสุขภาพลำไส้และระบบสำคัญอื่นๆในร่างกาย แต่ก็ยังมีอีกเรื่องสำคัญที่ควรจะให้ความสำคัญเหมือนกัน นั่นก็คือ วิธีการเลือกอาหารเสริมโพรไบโอติกให้ได้ประโยชน์สูงสุด ทานแล้วคุ้มค่ากับเงินที่เราตั้งใจซื้อสุขภาพดี
แล้วถ้าถามว่าอะไรคือความคุ้มค่า? สิ่งแรกๆที่คนมักจะนึกถึงก็คือการเทียบราคากับปริมาณอาหารเสริมโพรไบโอติกที่ได้ และมักจบด้วยการเลือกแบรนด์ที่ถูกที่สุดเมื่อเทียบกับเจ้าอื่นๆ หรือ ราคาเท่ากันแต่ใส่โพรไบโอติกมาให้เยอะกว่า ซึ่งต้องบอกเลยว่าวิธีคิดแบบนี้ไม่ได้ถูกต้องหรือผิดไปซะทีเดียว เพราะการเลือกซื้อโพรไบโอติกให้ได้ความคุ้มค่าต้องพิจารณาทั้ง 2 เรื่องนี้ควบคู่ไปกับปัจจัยอื่นๆ ประกอบกันด้วย สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญนอกเหนือจากเรื่องปริมาณและราคาของอาหารเสริมโพรไบโอติกจะมีอะไรบ้าง เรามาดูไปพร้อมกันเลยครับ
สารบัญ
Toggleวิธีเลือกโพรไบโอติกให้คุ้มค่า ต้องดูอะไรบ้าง
1. ใช้โพรไบโอติกสายพันธุ์ที่มีงานวิจัยรับรอง
เนื่องจากจุลินทรีย์โพรไบโอติกตามธรรมชาติมีอยู่นับพันนับหมื่นสายพันธุ์ ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นต่างกัน ซึ่งแน่นอนว่าก็จะมีแค่บางตัวเท่านั้นที่ถูกคัดออกมาทำการวิจัยในเรื่องของประสิทธิภาพและถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพโดยแต่ละแบรนด์อาหารเสริมก็จะมีการเลือกใช้สายพันธุ์ที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าทางแบรนด์อยากชูจุดเด่นในด้านไหน ดังนั้นผู้บริโภคจึงต้องทำการบ้านก่อนซื้อกันสักนิด หาข้อมูลของอาหารเสริมแบรนด์นั้นว่าใช้โพรไบโอติกสายพันธุ์อะไร มีความสามารถโดดเด่นเรื่องใดบ้าง โดยเฉพาะประสิทธิภาพเรื่องการดูแลลำไส้และต้องมีความปลอดภัยกับผู้บริโภค ซึ่งดูได้จากการมีงานวิจัยและผลการทดสอบในผู้ใช้จริงมาอ้างอิงประกอบกัน
นอกจากเรื่องประโยชน์แล้วถ้าผ่านการรับรองว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีความแข็งแกร่ง ทนความชื้นและอุณหภูมิได้ดี ก็ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่าโพรไบโอติกจะยังคงมีคุณภาพดีอยู่เสมอแม้เปิดทานแล้วหรือไม่ได้เก็บในตู้เย็น ที่สำคัญคือสามารถเหลือรอดไปถึงลำไส้ได้มากพอและพร้อมดูแลลำไส้ทันทีที่ไปถึง
2. มีจำนวนโพรไบโอติกมากพอที่จะทำให้เห็นผล
ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ต้องดูประกอบกับเรื่องการมีผลวิจัยรองรับที่เพิ่งพูดถึงไป เพราะโพรไบโอติกแต่ละสายพันธุ์ก็อาจทำงานหรือให้ผลได้ดีในจำนวนโดสที่ต่างกันได้ ซึ่งโดยทั่วไปปริมาณโพรไบโอติกที่แนะนำสำหรับคนที่ลำไส้ยังทำงานได้ปกติ จะอยู่ที่ 1,000 ล้าน CFU (colony-forming units) ขึ้นไป แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ ปัญหาท้องผูก ท้องเสียเรื้อรัง ควรทานในปริมาณที่สูงกว่านี้
อาหารเสริมโพรไบโอติก Tactiva จริงได้พัฒนาออกมาด้วยกัน 2 สูตร สำหรับคน 2 กลุ่ม ที่มีสุขภาพลำไส้และความต้องการในการดูแลสุขภาพที่ต่างกัน ซึ่งโพรไบโอติกที่ใช้ก็มีงานวิจัยรองรับว่า ใช้เพียง 1,000 ล้าน CFU ก็เริ่มเห็นถึงผลลัพธ์ที่น่าพอใจในการดูแลลำไส้แล้ว
- Tactiva Daily Up ที่มีโพรไบโอติก 6,000 ล้าน CFU ใน 1 แคปซูล เหมาะสำหรับผู้ที่ลำไส้ทำงานปกติแต่ต้องการเพิ่มการดูแลตัวเอง หรือผู้ที่เริ่มมีปัญหาในทางเดินอาหาร เช่น เริ่มมีอาการอาหารไม่ย่อยและท้องอืดบ่อยขึ้น ท้องเสียง่าย ท้องผูกบ่อยกว่าปกติ การเริ่มทานโพรไบโอติกในปริมาณนี้ทุกวัน จะช่วยปรับสภาพให้ทางเดินอาหารค่อยๆกลับมาเป็นปกติได้
- Tactiva Rise Up ที่มีโพรไบโอติกสูงถึง 25,000 ล้าน CFU ใน 1 แคปซูล เป็นสูตรที่พัฒนาเพื่อตอบโจทย์ผู้มีปัญหาในทางเดินอาหารและลำไส้เรื้อรัง มีอาการเจ็บป่วย เช่น ลำไส้แปรปรวน กรดไหลย้อน เป็นต้น ด้วยปริมาณโพรไบโอติกที่สูงจะช่วงเร่งการฟื้นฟูทางเดินอาหารและลำไส้ ให้กลับมาอยู่ในภาวะสมดุลเร็วขึ้น ช่วยลดอาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ได้
3. ใช้นวัตกรรมที่ช่วยรักษาคุณภาพของโพรไบโอติก
ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ในโรงงานที่ออกแบบมาเพื่อผลิตอาหารเสริมโพรไบโอติกโดยเฉพาะ รูปแบบของอาหารเสริม ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ต้องช่วยรักษาคุณภาพของโพรไบโอติกได้
โดยรูปแบบอาหารเสริมต้องสามารถปกป้องโพรไบโอติกไม่ให้โดนสภาพแวดล้อมทั้งอุณหภูมิ และความชื้นทำลายได้ง่ายๆ รวมถึงเมื่อทานเข้าไปแล้วต้องไม่โดนน้ำย่อยในทางเดินอาหารทำลายจนหมดก่อนลงไปถึงลำไส้ การบรรจุโพรไบโอติกในแคปซูลที่ทนต่อความเป็นกรด (Acid Resistant) จึงสร้างความมั่นใจในคุณภาพได้มากกว่าการผลิตในรูปแบบผง เยลลี่ หรือแคปซูลธรรมดา ที่ไม่สามารถทนความเป็นกรดจากน้ำย่อยได้ ทำให้โพรไบโอติกถูกทำลายได้มากกว่า (และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งในเหตุผลที่บางแบรนด์ มักใส่โพรไบโอติกมาให้เยอะๆ ต่อ 1 หน่วยบริโภค เพราะต้องการแก้ปัญหาเรื่องโพรไบโอติกตายระหว่างทาง)
ลองกลับไปเช็คอีกครั้ง ว่าอาหารเสริมโพรไบโอติกที่คุณแอบเล็งไว้ มีครบทุกข้อตามที่เราพูดถึงหรือเปล่า เพื่อที่เราจะได้ดูแลสุขภาพให้ดีได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องเสียเวลาและสิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นเพื่อเริ่มต้นใหม่นะครับ